- ความขัดแย้งระหว่าง HYBE และ มินฮีจิน CEO ของ ADOR: สรุปเหตุการณ์สำคัญและการวิเคราะห์
- บทความนี้กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่าง HYBE และ มินฮีจิน CEO ของ ADOR รวมถึงประเด็นการลอกเลียนแบบคอนเซ็ปต์ของ NewJeans และข้อสงสัยเรื่องการยึดครองกิจการ หลังจากมินฮีจิน CEO แถลงข่าว ความคิดเห็นของสาธารณชนเริ่มเปลี่ยนไป และมีแนวโน้มว่าอาจเกิดการฟ้องร้องในอนาค
✏️ ต้องการดูโพสต์ก่อนหน้า?
มินฮีจิน ซีอีโอของ ADOR ได้ออกมาชี้แจงถึงปัญหาในวงการเพลงเกาหลีในงานแถลงข่าวเมื่อเร็วๆ นี้
1. ผลเสียของระบบมัลติเลเบลที่เน้นบริษัทขนาดใหญ่
HYBE ปัจจุบันบริหารงานอยู่ 65 บริษัทและ 11 เลเบล
BIGHIT MUSIC : 防彈少年團 (BTS)
PLEDIS Entertainment : SEVENTEEN (เซเว่นทีน)
ADOR : NewJeans (นิวจีนส์)
SOURCE MUSIC : LE SSERAFIM (เล เซอราฟิม)
Belift Lab : ILLIT (อิลลิต) เป็นต้น รวม 11 บริษัทเลเบล
SM, JYP และค่ายเพลงขนาดใหญ่รายอื่นๆ แทนที่จะแยกบริษัทออกเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากหลายแห่ง พวกเขามักจะใช้การจัดการโครงสร้างองค์กรแบบแผนกขนาดใหญ่เช่น 'ฝ่ายที่ 1, ฝ่ายที่ 2' แทน
แตกต่างจาก HYBE ที่นำระบบมัลติเลเบลมาใช้และดำเนินการอย่างแข็งขันที่สุด จึงเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
เริ่มจาก BIGHIT ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ BTS จากนั้นก็ค่อยๆ เข้าซื้อกิจการบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ เช่น SOURCE MUSIC, PLEDIS, KOZ และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ได้ก่อตั้ง Belift Lab (ร่วมทุนกับ CJ ENM แล้วเข้าซื้อหุ้น) และ ADOR ขึ้นมาใหม่
ถ้าหากค่ายเพลงเดิมๆ ใช้รูปแบบการจัดสรรศิลปินหลายๆ คนในบริษัทเดียวกันและแบ่งเป็นแต่ละแผนก จากนั้นจึงบริหารจัดการโดยรวม HYBE ก็ได้สร้างกรอบการทำงานในลักษณะที่คล้ายกับกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ โดยให้แต่ละบริษัทในเครือดูแลกิจกรรมของศิลปิน
ผลลัพธ์ที่ได้คือ การบริหารงานของบริษัทในเครือ HYBE นั้นเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดการเติบโตของรายได้อย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
โดยที่แต่ละบริษัทมีระบบกรรมการผู้จัดการแยกจากกัน มีเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง และบริหารงานในแบบของตัวเองเพื่อผลักดันให้ศิลปินประสบความสำเร็จ
เบื้องหลังการนำระบบแบบนี้มาใช้ก็คือลดการพึ่งพาศิลปินคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะพร้อมกับมอบอำนาจในการตัดสินใจให้แต่ละบริษัท และกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมนั่นเอง
แต่การขยายขนาดองค์กรอย่างรวดเร็วก็ทำให้เกิดปัญหาการสื่อสารและมีการตีความกันมากว่าความขัดแย้งระหว่าง HYBE กับ ADOR ก็เกิดขึ้นจากจุดนี้เช่นกัน
เกิดการแย่งชิงระหว่างเลเบลต่างๆด้วย และการสื่อสารที่ไม่ดีทำให้ไม่สามารถแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลาในการทำงานของศิลปินหรือคอนเซ็ปต์ต่างๆ ได้ ทำให้เกิดความสับสนจากคำบอกเล่าของพนักงานภายในแสดงให้เห็นว่าจุดเริ่มต้นของหายนะในปัจจุบันเกิดขึ้นแล้ว
มินฮีจิน ซีอีโอของ ADOR ได้กล่าวว่าระบบมัลติเลเบลที่เน้นบริษัทขนาดใหญ่แบบนี้ส่งผลเสียต่อวงการเพลงเกาหลี
🔹 ข้อจำกัดของรูปแบบการผลิต K-POP แบบ 'โรงงาน': ข้อพิพาทเรื่องการลอกเลียนแบบ
มินฮีจิน ซีอีโอของ ADOR ได้หยิบยกประเด็นข้อพิพาทเรื่องการลอกเลียนแบบเพลงและท่าเต้นของศิลปินในสังกัด ADOR ขึ้นมาพูดถึงด้วย
และชี้แจงว่าปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบในทางลบต่อทั้งศิลปินและผู้บริโภค
ซีอีโอของค่ายเพลงเกาหลีรายกลางรายหนึ่งกล่าวว่า "อย่างที่เห็นจากกรณีที่ศิลปินถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพลังเสียงในการแสดงที่เทศกาลดนตรีในอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้เมื่อเราดันเดบิวต์วงดนตรีจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น ก็ย่อมต้องมีสมาชิกบางคนที่ฝีมือไม่ถึงเกณฑ์” และเสริมว่า “วิธีการแบบนี้แม้จะช่วยให้ K-POP เติบโตได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจส่งผลเสียได้”
2. โฟโต้การ์ดไอดอล
ที่เรียกกันว่า 'โฟก้า' คือการ์ดรูปถ่ายขนาดเล็กที่ใส่มาในอัลบั้มของไอดอล
แฟนคลับชื่นชอบการสะสมและแลกเปลี่ยนโฟโต้การ์ดเหล่านี้ และถือเป็นตัวชี้วัดความนิยมของไอดอลกรุ๊ป
🔸 การซื้อและสะสมโฟโต้การ์ด
เมื่อซื้ออัลบั้มของไอดอล ก็จะมีโฟโต้การ์ดแถมมาแบบสุ่ม
แฟนคลับบางคนซื้ออัลบั้มหลายๆ ชุดเพื่อสะสมโฟโต้การ์ด หรือบางคนก็ซื้อขายโฟโต้การ์ดแยกกันผ่านช่องทางออนไลน์
🔸 ตลาดโฟโต้การ์ดเติบโตขึ้น
โฟโต้การ์ดไอดอลได้รับความนิยมและถูกส่งออกไปยังต่างประเทศควบคู่ไปกับการเติบโตของแฟนด้อม K-POP
ตลาดการซื้อขายโฟโต้การ์ดก็ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ และแฟนคลับบางคนก็ลงทุนกับการสะสมโฟโต้การ์ดเป็นจำนวนมาก
โฟโต้การ์ดในอัลบั้มไอดอลกลายเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างแฟนคลับกับไอดอล แต่ก็มีมุมมองในแง่ลบเช่นกัน เช่นวัฏจักรที่ไม่ดีระหว่างวัฒนธรรมแฟนด้อมกับลัทธิบริโภคนิยม, การซื้อขายที่ผิดจรรยาบรรณ, การหลงใหลของแฟนคลับที่มากเกินไปเป็นต้น
🔹 วัฏจักรที่ไม่ดีระหว่างวัฒนธรรมแฟนด้อมกับลัทธิบริโภคนิยม
ราคาโฟโต้การ์ดของสมาชิกบางคนพุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมและความขัดแย้งระหว่างแฟนด้อมและมีข้อกังวลว่าการซื้ออัลบั้มกลายเป็นเพียงเครื่องมือในการลุ้นรับโฟโต้การ์ด
นอกจากนี้ การซื้อโฟโต้การ์ดโดยไม่ซื้ออัลบั้มก็เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีข้อวิจารณ์ว่าส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเพลงอย่างถูกต้อง
สื่อบางสำนักได้นำเสนอภาพของแฟนคลับที่ต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้รูปถ่ายไอดอล และชี้ให้เห็นถึงปัญหารูปแบบการใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลและอาจนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจ
<เหตุผลที่วัยรุ่นในยุคนี้เรียกโฟโต้การ์ดหายากว่า 'บ้านหรู'
<"ใช้เงิน 10 ล้านวอนกับการตามไอดอล" Gen Z ทั่วโลกคลั่งไคล้คอนเทนต์ที่ทำให้ใจสั่น>
🔹 ปัญหาสิ่งแวดล้อม
หลังจากซื้ออัลบั้มไอดอลแล้วโฟโต้การ์ดที่ถูกทิ้งมีจำนวนมากมายมหาศาล และเป็นที่กังวลว่าจะนำไปสู่การสิ้นเปลืองทรัพยากรและมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมได้
<'ขยะสวยๆ' ที่แฟนคลับสะสมเพื่อไปงานแฟนไซน์...เงาของยอดขายอัลบั้ม 100 ล้านชุด>
<ได้โฟโต้การ์ดไอดอลมาแล้วก็โยนทิ้ง...กลยุทธ์ทางการค้าทำลายสิ่งแวดล้อม>
มินฮีจิน ซีอีโอของ ADOR ได้ออกมาชี้แจงถึงการใส่โฟโต้การ์ดแบบสุ่มซึ่งทำให้ผู้บริโภคต้องซื้ออัลบั้มซ้ำๆ เหมือนกับการซื้อลอตเตอรี่ และการที่เรียกว่า 'การผลักดัน' (การที่ผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าซื้ออัลบั้มใหม่จำนวนมากในช่วงแรก และค่ายเพลงตอบแทนด้วยการจัดงานแฟนไซน์) โดยกล่าวว่าเป็นการกระทำที่ทำให้แฟนคลับต้องแบกรับภาระและสร้างความสับสนให้กับตลาด”
"NewJeans (นิวจีนส์) สามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องทำแบบนั้น เราอยากจะแสดงให้เห็นถึงเรื่องนี้" เธอกล่าว
💬 ประเด็นความขัดแย้งระหว่าง HYBE กับมินฮีจิน ซีอีโอของ ADOR ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างของวงการเพลงเกาหลีได้เป็นอย่างดี
โครงสร้างการผูกขาดที่เน้นบริษัทขนาดใหญ่ การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมในสัญญา ข้อพิพาทเรื่องการลอกเลียนแบบ เป็นปัญหาที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอยู่เสมอ
หากปัญหาเหล่านี้ยังไม่ถูกแก้ไข ก็คงยากที่จะหวังว่าวงการเพลงเกาหลีจะพัฒนาอย่างยั่งยืน
เราคงต้องมีการพูดคุยและหาแนวทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้กันอย่างจริงจังต่อไป
ศิลปิน ค่ายเพลง รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันสร้างระบบนิเวศน์ของวงการเพลงที่แข็งแรง
ความคิดเห็น0